วันอาทิตย์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2553

พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท


พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท


พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท

ประวัติของพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท
                                    พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท คือหนึ่งในพระที่นั่งที่สำคัญในพระบรมมหาราชวัง เป็นพระที่นั่งที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นเพื่อเป็นท้องพระโรง ในพ.ศ. 2418 ภายหลังเสด็จประพาสสิงคโปร์และชวา

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

                            สมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้จ้างนายยอน คลูนิช ชาวอังกฤษ สถาปนิกจากสิงคโปร์ เป็นนายช่างหลวงออกแบบพระที่นั่ง นายเฮนรี คลูนิช โรส เป็นนายช่างผู้ช่วย โดยมีเจ้าพระยาภาณุวงศ์มหาโกษาธิบดี (ท้วม บุนนาค) เป็นแม่กอง พระยาเวียงในนฤบาลเป็นผู้กำกับดูแลการทุกอย่าง และพระประดิษฐการภักดีเป็นผู้ตรวจกำกับบัญชีและของทั้งปวง พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงประกอบพิธีวางศิลาฤกษ์เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2429
เจ้าพระยาภาณุวงศ์มหาโกษาธิบดี (ท้วม บุนนาค) ผู้กำกับดูแลการสร้างพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท

เดิมมีพระที่นั่งต่างๆ เรียงต่อเนื่องกันรวม 11 องค์ ปัจจุบันเหลืออยู่เพียง 3 องค์ คือ พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท และ พระที่นั่งมูลสถานบรมอาสน์ กับ พระที่นั่งสมมติเทวราชอุปบัติ ซึ่งพระที่นั่งทั้ง 2 องค์ที่กล่าวถึงนั้นได้รื้อลงแล้วสร้างใหม่ในรัชกาลปัจจุบัน
                         ทั้งนี้ ในพ.ศ. 2542 ได้มีโครงการสร้างพระที่นั่งจักรีมหาปราสาทส่วนต่อเติมในพื้นด้านหลัง เพื่อใช้ในการพระราชทานเลี้ยงต้อนรับพระราชอาคันตุกะ แล้วเสร็จในเดือนมิถุนายน 2549
                         เริ่มแรกนั้นพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระที่นั่งองค์ใหม่เป็นแบบตะวันตก แต่สมเด็จพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) กราบบังคมทูลพระกรุณาว่าสมควรสร้างเป็นปราสาทจึงจะเหมาะสม เพราะเมื่อครั้งกรุงศรี อยุธยา มีการสร้างปราสาทเรียงกัน 3 องค์ ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ มีการสร้างอยู่แล้ว 2 องค์ คือ พระที่นั่งจักรพรรดิพิมาน กับ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท นอกจากนี้การสร้างพระมหาปราสาทนั้นถือกันมาแต่โบราณว่า เป็นการเฉลิมพระเกียรติยศของสมเด็จ พระมหากษัตริยาธิราชเจ้าที่ทรงสร้างด้วย จึงมีพระราชดำริเห็นชอบและโปรดเกล้าฯให้สร้างพระที่นั่งจักรีมหาปราสาทเป็นแบบผสมผสาน ระหว่างสถาปัตยกรรมไทย และสถาปัตยกรรมตะวันตก คือ เป็นปราสาท 3 ชั้น 3 องค์ เรียงกัน มีมุขกระสันเชื่อมต่อกัน ลักษณะผสม แบบศิลปะไทยกับยุโรป องค์พระที่นั่งเป็นแบบสถาปัตยกรรมยุโรป แต่หลังคาเป็นยอดปราสาทแบบไทย 3 ยอด ยอดทรงมณฑปซ้อน 7 ชั้น มีมุมไม้สิบสองทั้ง 4 มุม หลัง คาเป็นหลังคาชั้นลด 2 ชั้น มุงกระเบื้องเคลือบสี มีช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์        
                    จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เปลี่ยนทรงหลังคาเป็นหลังคายอดปราสาท 3 ยอดเรียงกันตามสถาปัตยกรรมไทย และเสด็จยกยอดปราสาทใน พ.ศ. 2421 มีการเฉลิมพระราชมนเฑียรใน พ.ศ. 2425 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานนามว่า พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท

สมเด็จพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค)

พระที่นั่งจักรีมหาปราสาทในปัจจุบัน

พระที่นั่งจักรีมหาปราสาทในปัจจุบัน

                      ในปัจจุบันทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ใช้ท้องพระโรงกลางในพระที่นั่งจักรีมหาปราสาทเป็นสถานที่เสด็จ ออกให้คณะทุตานุทูตต่างประเทศเฝ้าฯ ถวายพระราชสาส์นและอักษรสาส์นตราตั้ง เป็นที่ถวายหรือพระราชทานเลี้ยงรับรอง พระราชอาคันตุกะ และเป็นที่ประกอบพระราชพิธีต่างๆ                         

                      เนื่องในวโรกาสฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี เพื่อเป็นการเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัฐบาลได้ทำการตกแต่งพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท (ส่วนต่อเติม) จากงบประมาณรายจ่าย ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2549 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่าย เพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น สำหรับรายการตกแต่งพระที่นั่งฯ ในวงเงิน 500 ล้านบาท ซึ่งสำนัก พระราชวัง ได้กราบบังคมทูลพระกรุณา ทราบฝ่าละอองธุลีพระบาท ในการที่ รัฐบาล ได้ น้อมเกล้าฯ ถวาย การสนับสนุนงบ ประมาณดังกล่าวแล้ว ซึ่งนับว่า เป็นพระที่นั่งแห่งแรกที่มีการจัดสร้างในรัชกาลปัจจุบัน และในการนี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชทานนามพระที่นั่งจักรีมหาปราสาทส่วนต่อเติมว่า"พระที่นั่งบรมราชสถิตมโหฬาร" สำหรับพระที่นั่งบรมราชสถิตมโหฬาร เป็นพระที่นั่งองค์ใหม่ที่สร้างขึ้น เพิ่งเสร็จเรียบร้อยทันงานเฉลิมฉลองการ ครองราชย์ สมบัติครบ 60 ปี โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานนามว่า พระที่นั่งบรมราชสถิตมโหฬาร พระที่นั่งบรมราชสถิตมโหฬาร มีความสูงเท่ากับตึก 11 ชั้น ซึ่งสูงกว่าพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท 4 ชั้น ภายในปู พื้นด้วยหินอ่อน สั่งตรงจากประเทศอิตาลี มีการประดับตกแต่งอย่างสวยงาม โดยสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถ ได้พระราชทาน“กูบช้างทองคำ” “กูบช้างถมทอง” “กูบช้างคร่ำทอง” และ “กูบช้างเงิน”ป็นเครื่องประดับภายใน ไม่เพียงเท่านั้น ยังได้พระราชทาน “บุษบกทองคำ” และ “บานไม้จำหลัก” ที่เคยประดิษฐานอยู่ที่พระที่นั่งจักรีมหา- ปราสาท ย้ายมาประดิษฐานไว้ที่พระที่นั่งองค์ใหม่ด้วย ส่วนผู้ที่ได้รับคัดเลือกจากรัฐบาลให้เข้าไปวาดภาพตกแต่งภายในพระที่นั่งองค์ใหม่นี้ คือ จักรพันธุ์ โปษยกฤต ศิลปินแห่งชาติ สาขาทัศนศิลป์จิตรกรรม พ.ศ.2543 ผู้ที่มีผลงานสวยสดงดงามและมีชื่อเสียงของเมืองไทย วาดภาพพระบรม สาทิสลักษณ์ประดับ ในพระที่นั่งดังกล่าว ทั้งนี้พระที่นั่งบรมราชสถิตมโหฬาร จะใช้เป็นสถานที่เลี้ยงพระกระยาหารค่ำพระราชอาคันตุกะ ในวันที่ 13 มิ.ย. ที่ผ่านมา

พระที่นั่งบรมราชสถิตยมโหฬาร

พระราชมณเฑียรสถานหมู่พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท           

  1. พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท
  2. พระที่นั่งมูลสถานบรมอาสน์ เป็นพระที่นั่งที่สร้างต่อเนื่องกับท้องพระโรงกลางพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท ด้านตะวันออก ใช้เป็นห้องสำหรับพระราชทานเลี้ยง
  3. พระที่นั่งสมมติเทวราชอุปบัติ เป็นพระที่นั่งที่สร้างต่อเนื่องกับท้องพระโรงกลางพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท ด้านตะวันออก เดิมใช้เป็นที่เสด็จออกขุนนาง และประชุมร่วมกับคณะที่ปรึกษาราชการแผ่นดิน และเป็นสถานที่ทรงประกาศพระบรมราชโองการการเลิกทาส พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำริให้สร้างพระที่นั่ง นี้ ตรงบริเวณที่เป็นพระตำหนักชั้นเดียวที่ทรงเสด็จพระราชสมภพ
  4. พระที่นั่งดำรงสวัสดิ์อนัญวงศ์ เป็นพระที่นั่งที่สร้างต่อเนื่องกับพระที่นั่งสมมติเทวราชอุปบัติ ด้านตะวันตก ใช้เป็นห้องเครื่องลายคราม มีชื่อเรียกขานว่า "ห้องผักกาด"
  5. พระที่นั่งนิพัทธพงศ์ถาวรวิจิตร เป็นพระที่นั่งที่สร้างต่อเนื่องกับพระที่นั่งมูลสถานบรมอาสน์ ด้านตะวันออกเป็นห้องพระภูษา
  6. พระที่นั่งบรมราชสถิตยมโหฬาร เป็นพระราชมณเฑียรที่ประทับของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว อยู่ทางทิศใต้ของพระที่นั่งมูลสถานบรมอาสน์ และพระที่นั่งสมมติเทวราชอุปบัติ บางครั้งใช้เป็นสถานที่รับรองแขก (ปัจจุบันได้มีการก่อสร้างใหม่ในสถานที่เดิม)
  7. พระที่นั่งอมรพิมานมณี เป็นพระวิมานที่บรรทมของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ต่อจากพระเฉลียงด้านหลังพระที่นั่งบรมราชสถิตยมโหฬาร
  8. พระที่นั่งสุทธาศรีอภิรมย์ เป็นห้องประทับสมเด็จพระอัครมเหสี อยู่ด้านตะวันออกของพระที่นั่งอมรพิมานมณี
  9. พระที่นั่งบรรณาคมสรนี เป็นห้องทรงพระอักษร อยู่ด้านตะวันตกของพระที่นั่งอมรพิมานมณี
  10. พระที่นั่งปรีดีราชวโรทัย เป็นห้องพักผ่อนพระราชอิริยาบถ ต่อจากพระที่นั่งบรมราชสถิตยมโหฬาร
  11. พระที่นั่งเทพดนัยนันทยากร เป็นห้องสมเด็จพระราชโอรสและสมเด็จพระราชธิดา ทางด้านเหนือของพระที่นั่งบรมราชสถิตยมโหฬาร

แผนผังหมู่พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท ในสมัยรัชกาลที่ 5 
1. ท้องพระโรงหน้า
2. ท้องพระโรงกลาง
3. ท้องพระโรงหลัง
4. มุขกระสันตะสันออก
 5. ห้องไปรเวท 
6. มุขกระสันตะวันตก
7. ออฟฟิศหลวง
8. อ่างแก้ว
9. พระที่นั่งมูลสถานบรมอาสน์ ( ห้องโต๊ะ )
10. พระที่นั่งสมมติเทวราชอุปบัติ ( ห้องทอง )
11. พระที่นั่งดำรงสวัสดิอนัญวงศ์ ( ห้องผักกาด )
12. พระที่นั่งพิพัฒน์พงศ์ถาวรวิจิตร ( ห้องพระภูษา )
13. พระเฉลียง
14. ห้องน้ำเงิน
15. ห้องเหลือง
16. ห้องเขียว

 17. พระที่นั่งอมรพิมานมณี
18. พระที่นั่งสุทธาศรีอภิรมย์
19. พระที่นั่งบรรณาคมสรณีย์
20. พระที่นั่งราชปรีดีวโรทัย
21. พระที่นั่งเทพดนัยนันทยากร
22. สวนสวรรค์ 
พระที่นั่งองค์ต่าง ๆในหมู่พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท
พระที่นั่งมูลสถานบรมอาสน์ (ห้องโต๊ะ)
     พระที่นั่งองค์นี้อยู่ต่อกับท้องพระโรงกลางของหมู่พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท ทางทิศตะวันออกพระที่นั่งองค์นี้มีความหมายว่า “ เป็นที่ประทับเมื่อขึ้นครองราชย์ “พระที่นั่งองค์นี้ใช้เป็นห้องสำหรับพระราชทานเลี้ยงในงานต่างๆจึงเรียก ว่า“ห้องโต๊ะ“เพดานห้องทำเป็นลายมงคล8ประการคือ สังข์ , จักร , ตะบอง , บ่อน้ำ , ลูกโค , กรอบหน้า , ธง และ ขอ  ต่อมาพระที่นั่งองค์นี้ชำรุดทรุดโทรมมาก พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบัน จึงโปรดเกล้า ฯ ให้รื้อลงและสร้างพระที่นั่งมูลสถานบรมอาสน์องค์ใหม่ขึ้นแทน แต่ยังจัดเป็นห้องพระราชทานเลี้ยงเช่นเดิม
 
พระที่นั่งสมมติเทวราชอุปบัติ ( ห้องทอง )
   พระที่นั่งองค์นี้อยู่ต่อกับท้องพระโรงกลางของหมู่พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท ทางทิศตะวันตก ที่เฉลียงดานหน้าพระที่นั่งองค์นี้มีอ่างน้ำพุซึ่งเรียกกันมาแต่เดิมว่า “ อ่างแก้ว “ นามของพระที่นั่งองค์นี้มีความหมายว่า “ เป็นที่ซึ่งพระองค์ เสด็จพระราชสมภพ “ ต่อมาใน พ.ศ. 2430 โปรดเกล้า ฯ ให้เปลี่ยนเป็นห้องเสวย นอกจากนั้นในบางครั้ง เจ้านายฝ่ายในบางพระองค์ยังเสด็จมาประทับชั่วคราว และพระที่นั่งองค์นี้ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงประกาศกระแสพระราชดำริ ในอันที่จะให้มีการเลิกทาส ณ ท่ามกลางที่ประชุมคณะที่ปรึกษาราชการแผ่นดิน เมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2417 ต่อมาพระที่นั่งองค์นี้ชำรุดทรุดโทรดมาก พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบัน จึงได้พระราชทานพระบรมราชานุญาติให้รื้อลง  และสร้างพระที่นั่งสมมติเทวราชอุปบัติ องค์ใหม่ขึ้นมาแทน
พระที่นั่งดำรงสวัสดิอนัญวงศ์ ( ห้องผักกาด )
  พระที่นั่งองค์นี้อยู่ต่อจากพระที่นั่งสมมติเทวราชอุปบัติ ทางทิศตะวันตกมีการตกแต่งด้วยเครื่องลายคราม มีนามเป็นการภายในว่า “ ห้องผักกาด “ บางครั้งใช้เป็นห้องเสวย กาแฟ เมื่อมีงานพระราชทานเลี้ยงใหญ่ ระหว่างพระที่นั่งองค์นี้กับพระที่นั่งราชปรีดีวโรทัยเป็นที่พักของหมอหลวง ซึ่งโปรดเกล้า ฯ ให้เข้ามาอยู่เมื่องทรงพระประชวร
พระที่นั่งนิพัทธพงศ์ถาวรวิจิตร ( ห้องพระภูษา )
  พระที่นั่งองค์นี้อยู่ต่อจากพระที่นั่งมูลสถานบรมอาสน์ทางทิศตะวันออก พระที่นั่งองค์นี้เป็นห้องพระภูษา ( เครื่องแต่งตัว ) ของพระมหากษัตริย์ มีเกยสำหรับส่งพระกรพระองค์เจ้านายฝ่ายใน ในพระราชพิธีโสกันต์
     หลังจากที่โปรดเกล้า ฯ ให้สร้างพระที่นั่งจักรีมหาปราสาทแล้ว  ในระหว่าง พ.ศ. 2425 - 2430 ก็ได้โปรด ฯ ให้สร้างพระที่นั่งเพิ่มขึ้นที่ด้านหลังของ พระที่นั่งบรมราชสถิตย์มโหฬาร ในเขตพระราชฐานชั้นในอีก 4 องค์ คือ  พระที่นั่งอมรพิมานมณี เป็นที่วิมานบรรทม , พระที่นั่งสุทธาศรีอภิรมย์ เป็นที่ประทับของสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ , พระที่นั่งบรรณาคมสรณีย์ เป็นห้องทรงพระอักษร และ พระที่นั่งราชปรีดีวโรทัย เป็นที่พักผ่อนพระราชอิริยาบถ นอกจากนั้นยังโปรดเกล้า ฯ ให้สร้าง " สวนสวรรค์ "
พระที่นั่งบรมราชสถิตยมโหฬาร ( องค์เก่า )
   พระที่นั่งองค์นี้ตั้งอยู่ทางตอนหลังของพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท มีพระเฉลียงด้านหน้าของพระที่นั่งองค์นี้ต่อเนี่องกับท้องพระโรงหลังของพระ ที่นั่งจักรีมหาปราสาท มี 2 ชั้น ชั้นบนเป็นที่ประทับของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และชั้นล่างเป็นส่วนสำหรับข้าทูลละอองธุลีพระบาท ในชั้นบนมี 3 ห้อง
   ห้องกลาง เป็นห้องใหญ่ เรียกกันว่า " ห้องเหลือง " เคยใช้เป็นที่รับรองแขกผู้มีเกียรติ และยังใช้ประกอบพระราชพิธีหรืองานพระราชกุศลภายในด้วย เช่น งานพระราชกุศลคล้ายวันสิ้นพระชนม์ใน สมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ และ สมเด็จเจ้าฟ้ากรรณาภรณ์เพ็ชรรัตน์ จะจัดที่ห้องเหลืองนี้เป็นประจำ
   ห้องด้านตะวันออก เรียกว่า  " ห้องน้ำเงิน " เป็นห้องทรงพระสำราญ พระอัครมเหสีและเจ้านายและพระบรมวงศ์ที่ใกล้ชิดเข้าเฝ้า ฯ ณ ห้องนี้ อีกทั้งเป็นที่ที่ เคยโปรดเกล้า ฯ ให้ สมเด็จพระอัครมเหสีเสด็จออกรับแขกในบางโอกาศ ภายในห้องเป็นที่ประดิษฐานเครื่องราชกกุธภัณฑ์ เครื่องราชศิราภรณ์ พระมาลา เครื่องราชูปโภค พระแสง และสิ่งมีค่าอื่น ๆ และยังมีรูปเขียน เรื่อง " อิเหนา " ประดับที่ฝาผนังด้วย
   ห้องด้านตะวันตก เรียกว่า " ห้องเขียว " เป็นห้องทรงพระสำราญเป็นการส่วนพระองค์ตามพระราชอัธยาศัย และเป็นห้องเสวยฝ่ายใน