Pre-trip ทริปเล็กก่อนลุยของจริง
ลาดกระบัง-สระบุรี
เช้าวันเสาร์ที่แสนขี้เกียจ เพื่อนชาว สถ.5ได้นัดรวมตัวเพื่อเตรียมตัวไปจังหวัดสระบุรี เป็นหนึ่งในจุดหมายของทริปอ.จิ๋ว ออกเดินทางประมาณ 9.00 กว่าๆ ใช้เวลาเดินทางไม่นานมากนั้น ที่ๆแรกที่เราได้เข้าไปสัมผัสคือ บ้านเขาแก้ว จ.สระบุรี
บ้านเขาแก้ว จ.สระบุรี ภายใน บริเวณประกอบไปด้วยบ้านทรงไทยเก่า แต่ละหลังมีอายุมากกว่า 80 ปี เก็บรักษาโดย อาจารย์ทรงชัย วรรณกุล โดยได้เริ่มสะสมบ้านทรงไทยแบบดั้งเดิมมากว่า 30 ปี แล้วนำมาปลูกไว้ในพื้นที่ของตนเองบริเวณริมแม่น้ำป่าสัก
เมื่อเดินเข้าไปในอาณาเขตบ้าน จะมีความรู้สึกร่มรื่น spaceที่เกิด ระหว่างลานดิน ต้นไม้ ใต้ถุนบ้านและตัวเรือนบ้านมีความสอดกล้องเข้าหากันอย่างแนบเนียน
 |
ซุ้มประตูทางเข้า ใช้วัสดุท้องถิ่นแล้วปลูกต้นไม้เพื่อเสริมความสวยงามและให้ร่มเงา |
 |
ลานดินที่ดูเรียบง่าย เพื่อเป็นตัวกำนดspaceระหว่างลาน ตัวบ้าน ให้แยกออกจากกัน |
 |
โอ่งน้ำ ต้นมะม่วงกรงนกที่แขวนไว้สร้างบรรยากาศให้กับมุมพักผ่อน
อ.ทรงชัยได้เริ่มสะสมของพื้นบ้าน และเก็บบรรยากาศเก่าๆที่เคยเห็นมา นำมาประยุกต์ใช้และจัดเป็นมุมต่างๆในแต่ละส่วน |
 |
ใต้ถุนบ้าน ส่วนสำคัญในวิถีชีวิตชาวไทย
ใต้ถุนบ้าน อ.ทรงชัยได้จัดให้เห็นถึงการใช้ประโยชน์ของพื้นที่นี้ ทั้งเป็นที่เก็บของ เลี้ยงสัตว์ อีกทั้งเป็นที่พักผ่อนอีกด้วย |
ที่ตั้งของ บ้านเขาแก้ว ได้มีการขุดคูน้ำไว้ล้อมรอบ ที้งนี้เพื่อเป็นกำแพงแสดงอาณาเขตบ้านโดยใช้ธรรมชาติเป็นตัวกำหนด และยังช่วยกันสัตว์และแมลงได้ด้วย
 |
สะพานข้ามคูน้ำ |
 |
ส่วนด้านหลังมีเรือนไทยริมน้ำ ที่มีชานนั่งเล่นพักผ่อน คูน้ำสีเขียวอ่อนๆ เรือนไทยไม้ หลังคาสีเขียว และต้นไม้ที่เป็นฉากหลัง ดูกลมกลืนกันและบอกเล่าถึงบรรยากาศที่เป็นเรื่องเดียวกัน |
 |
ครัวไทยโบราณไม่อยู่ภายใต้หลังคาเดียวกัน กับตัวเรือนใหญ่ จะแยกออกมาต่างหาก อาจเป็นเพราะลักษณะการทำอาหารของ ไทย ซึ่งมีทั้งโขลก สับ ผัด ทอด |
เมื่อเราเก็บบรรยากาศเก่าๆของบ้านเขาแก้วแล้วพวกเราก็ข้ามฝั่งไปอีกทีหนึ่ง บริเวณนี้เป็นหอวัฒนธรรมพื้นบ้านไทยยวน
สาเหตุที่อาจารย์ได้คิดริเริ่มก่อตั้งหอวัฒนธรรมพื้นบ้านไทยวนขึ้น ก็เนื่องมาจากแนวความคิด 3 ส. คือ ส. แรก - สืบสาวเรื่องราวความเป็นมา ส. ที่สอง - สานต่อวัฒนธรรมให้คงไว้ และ ส. ที่สาม - เสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีในชุมชนไทยวนด้วยกัน อ.จริงได้จัดทำหอวัฒนธรรมพื้นบ้านไทยยวน ขึ้นมาและมีการสอนศิลปะ ฟ้อนรำให้เด็กให้แก่เด็กๆในวันเสาร์อีกด้วย
ความประทับใจที่เกิดเมื่อเข้ามาในบริเวณนี้คือ การสร้างspaceที่คละกันไประหว่างเรือนไทยและต้นไม้ใหญ่ โดยอ.ยอมที่จะให้ต้นไม้ใหญ่เข้ามาแทรกและล้ำเข้าไปในตัวบ้าน ซึ่งคนโบราณสมัยก่อนไม่นิยมทำกัน และการปรับพื้นที่ slopeที่ดูแนบเนี่ยน ค่อยๆไล่ระดับกันไป
 |
มุมมองจากลานข้างล่าง
บริเวณนี้เป็นเวทีที่ใช้ในการแสดง โดยมีฉากหลังเป็นเรือนไทยและหมู่ไม้เป็นตัวเสริม |
 |
เรือนริมน้ำ |
ตลาดเก่า อ.เส้าไห้
เราเดินทางต่อเพื่อไปชมตลาดเก่าที่อำเภอเสาไห้ ตลาดบรรยากาศภายในค่อนข้างเงียบ คนยังไม่ค่อยรู้จักนัก ทำให้เราได้เห็นบ้านห้องแถว แบบสมัยก่อนจริงๆ
 |
บรรยากาศภายในตลาด |
 |
เกี้ยวกรอบร้อยปี ส.พาณิชย์ +ห้องแถวโบราณ ดูเข้ากันอย่างมีเสน่ห์ |
Vernacular Trip 2010
วันที่ 1 ลาดกระบัง-อุทัยธานี-ลำปาง
วันนี้เป็นวันแรกของการเริ่มต้น ทริปอ.จิ๋ว ความรู้สึกตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูกในที่สุดก็ถึงตาเราซะที หลังจากมองพี่ๆปีห้าแต่ละรุ่นไปกันตั้งแต่ปีหนึ่ง วันแรกเก็บกระเป๋ออกเดินทางไปพร้อมเพื่อนๆ เวลาประมาณเก้าโมงกว่า จุดหมายที่แรกคือ อุทัยธานี
อุทัยธานี
ถึงแล้วแต่เรายังไม่เริ่มฟังบรรยายจากอ.จิ๋ว เพราะทุกคนเริ่มหิวข้าว ทุกคนเห็นตรงกันว่ากองทัพต้องเดินด้วยท้อง อาจารย์จึงให้เวลากินๆ เดินๆ หนึ่งชั่วโมง รอบๆตัวเมืองอุทัยธานี
 |
มื้อแรกของการเดินทาง บะหมี่เย็นตาโฟต้มยำ |
 |
ห้องแถวไม้เล็กๆที่ดูมีสีสันด้วยชุดสังฆทานและร่มคันงาม |
 |
กินอิ่มก็ยิ้มได้ |
บ้านเรือนแพ ริมแม่น้ำสะแกกรัง อุทัยธานี
อุทัยธานีเป็นจังหวัดที่มีแม่น้ำสะแกกรังไหลผ่าน ซึ่งเป็นแม่น้ำสายสำคัญของชาวบ้าน คนไทยสมัยก่อนมีชีวิตที่ผูกพันธ์กับแม่น้ำ จึงไม่แปลกที่จะเกิดชุมชนที่อาศัยอยุ่ริมน้ำ โดยหวังพึ่งพิงแม่น้ำสายนี้เป็นอู่ข้าว อู่น้ำ เพื่อดำรงชีวิตและทำมาหากิน
 |
กลุ่มเรือนแพริมแม่น้ำ |
 |
ในน้ำก็มีการปลูกต้นไม้ เพื่อความสวยงามและเป็น bufferกันกระแสน้ำที่มากระทบตัวเรือนด้วย |
 |
ทางลงเข้าไปในตัวเรือน |
 |
เรือนแพ มีการแยกส่วนเป็นตัวเรือนอาศัย เรือนเก็บของ และห้องน้ำ |
 |
ห้องเก็บของที่แยกส่วนจากตัวเรือนกลายมาเป็นบ้านน้องหมาไปโดยปริยาย |
 |
รูปด้านเรือนแพ แฝด |
 |
จบวันแรก บายๆ |
วันที่ 2 ลำปาง
วันนี้ตื่นมารับยามเช้าด้วยอากาศและบรรยากาศแบบใหม่ เรามาถึงลำปางแล้ว ตื่นแต่เช้าเพื่อเก็บของแต่งตัวและทานข้าว เพื่อจะมาลุยกันแต่ในจังหวัดลำปาง นี่ถือเป็นครั้งแรกที่เรามาเที่ยวจังหวัดนี้เลย ช่างเป็นจังหวัดที่เงียบและเรียบง่ายดีแท้
ออกเดินทางกัน วัดแรกที่เราจะไปนั้นคือ วัดไหล่หิน
วัดไหล่หิน
” วัดไหล่หิน ” เป็นชื่อที่ชาวบ้านเรียกกันในปัจจุบัน ซึ่งมีชื่อที่เป็นทางการว่า “ วัดเสลารัตนปัพพะตาราม ” หรือวัดไหล่หิน หลวงแก้วช้างยืน บางครั้งชาวบ้านรุ่นก่อนๆก็จะเรียกว่า วัดป่าหิน หรือวัดม่อนหินแก้ว
ทางเข้าวัดไหล่หินเป็นลานต้นโพธิ์ สวยงาม บริเวณใต้ต้นทำเป็นลานดิน ลานทราย เพื่อเป็นลานกิจกรรมและช่วยดูดซับความชื้นจากดิน
 |
ลานต้นโพธิ์ สร้างความร่มรื่น |
 |
ตัวลานเป็นลานดิน ลานทราย ยังไม่เทคอนกรีต แสดงให้เห็นการจัดspaceแบบลานในสมัยก่อน |
 |
ซุ้มประตูนี้ก็เป็นต้นแบบของวัดลำปางหลวง แต่สร้างใหญ่กว่า |
 |
ซุ้มประตู กำแพงแก้ว พระวิหาร พระเจดีย์ มีscaleที่สอดคล้องกัน |
 |
พระประธาน |
เดินทางกันต่อ เสร็จจากวันไหล่หินแล้วพวกเราก็เดินทางไปสักการะที่วัดพระธาตุลำปางหลวงและพักทานข้าวกันที่นั้นด้วย
วัดพระธาตุลำปางหลวง
ตัววัดตั้งอยู่บนเนินสูง มีการจัดวางผัง และส่วนประกอบของวัดที่สมบูรณ์แบบ(ที่ก่อสร้างในสมัยก่อนไม่นับรวมที่ต่อเติม) ในบริเวณพุทธาวาสประกอบด้วย องค์พระธาตุลำปางหลวงเป็นประธาน มีบันไดนาคนำขึ้นไปสู่ซุ้มประตูโขง วิหารหลวง วิหารบริวาร หอพระพุทธบาท วิหารพระพุทธ และ อุโบสถ ทั้งหมดนี้จะแวดล้อมด้วยแนวกำแพงแก้วทั้งสี่ด้าน นอกกำแพงแก้วด้านมีประตูที่จะนำไปสู่เขตสังฆาวาส ซึ่งประกอบด้วยอาคาร หอพระไตรปิฎก กุฏิประดิษฐาน พระแก้วดอนเต้า อาคารพิพิธภัณฑ์และกุฏิสงฆ์
 |
ด้านหน้าเป็นบันไดนาคเพื่อนำไปสู่ซุ้มประตุโขงและตัวพระวิหาร |
 |
พระเจดีย์เป็นการก่ออิฐถือปูนแบบสี่เหลี่ยมย่อมุมพวงมาลัยสามชั้น |
วัดปงยางคก
เมื่อถึงวัดนี้อ.จิ๋วยังไม่นำเราเข้าสู่ตัวอาราเขตวัดแต่ได้พาพวกเราเข้าไปถ่ายรูป บรรยากาศรอบๆวัดก่อน บรรยากาศรอบๆยังเป็นทุ่งนาเงียบสงบมีลานต้นโพธิ์ และกำแพงเตี้ยๆล้อมรอบ เป็นตัวกำหนดspaceให้กับส่วนลานภายในและลานภายนอก
 |
ลานดินและไม้ค้ำโพธิ้ ความเชื่อและพิธีกรรมดั้งเดิมของชาวล้านนา |
 |
กำแพงเป็นเส้นนำสายตา ชี้นำไปยังตัวพระวิหาร |
เข้าสู่อาราบริเวณ จะพบวิหาร 2 หลังที่มีความแตกต่างกันมากจนน่าตกใจ
 |
ความแตกต่างที่ดูไม่เข้ากันของวิหารเก่าและใหม่ |
วิหารพระแม่เจ้าจามเทวี มุงด้วยดินขอเกล็ด วิหารนี้เป็นวิหารขนาดเล็ก ลักษณะทั่วไปของวิหารไม่เหมือนกับวิหารในสมัยปัจจุบัน เป็นวิหารโถงทำด้วยไม้ ตอนล่างเปิดโล่งตลอดไม่มีประตูและหน้าต่าง ตอนสุดท้ายของวิหารมีผนังก่ออิฐฉาบปูนทึบสามด้าน ) ลักษณะของการก่อสร้างเป็นศิลปะสถาปัตยกรรมแบบลานนา หลังคาสามชั้น เป็นวิหารไม้ที่มีความสวยงามมาก เป็นแบบฉบับของลักษณะสถาปัตยกรรมภาคเหนือ
 |
พระวิหารพระแม่จามเทวี |
 |
ภายใน |
เสร็จสิ้นกับวัดปงยางคกด้วยความเหนื่อยล้า แต่ทริปวันนี้ยังไม่จบเราต้องเดินทางไปเยี่ยมเยือนหมู่บ้านเพื่อเข้าไปสัมผัสบ้านพื้นถิ่นของชาวลำปางกันต่อ
 |
บ้านไม้โบราณ ดูงดงามเมื่อกระทบกับแสงแดดเกิดแสงและเงา |
 |
ใต้ถุนบ้านมีการใช้งานจริง ดูจากท่าทางและความสบายของเหล่านางแบบ |
 |
ใต้ถุนบ้านเอนกประสงค์ พักผ่อน เลี้ยงสัตว์ เก็บของ |
 |
วิถีพอเพียง ปลูกพืชสวนครัวไว้ใช้กินกันในเองในครัวเรือน |
วันที่ 3 แอ่วลำปางกันต่อไป
วันนี้ตื่นเช้าเพื่อไปจ่ายตลาดเตรียมอาหารสำหรับมื้อเที่ยงและตักบาตรทำบุญกันซะหน่อย วิถีชีวิตที่อยู่ลาดกระบังคงไม่ได้ทำกันแน่ๆ ต้องรีบตักตวงไว้ เสร็จแล้วปั่นจักรยานกลับมาเก็บของเตรียมตัวเดินทางไปยังจุดหมายแรก
วัดพระแก้วดอนเต้าสุชาดาราม
เมื่อเข้าไปตัววัดรุ้สึกค่อนข้างงงเนี่ยจากอาณาเขตแบบออกเป็นสองเขตวัด ซ้ายขวา แต่เริ่มแรกเราเดินตามกันไปเพื่อฟังบรรยายจากอ.จิ๋วก่อน ณ ลานวัด ซึ่งได้ปรับสภาพเป็นลานเทคอนกรีตและปลูกหญ้าญี่ปุ่นเรียบร้อยแล้ว แสดงให้เห็นถึงการนำเทคโนโลยีและการจัดรูปแบบสมัยใหม่เข้ามาใช้
 |
ลานวัดทอดยาวไปยังบันไดที่เปลี่ยนระดับความสูงนำเราไปสู่พระวิหาร
จากลานดินสู่ลานปูน จากเก่าสู่ใหม่ |
 |
พระวิหาร หันหน้าเข้าทางทิศตะวันตก ขนาดค่อนข้างใหญ่ หลังคา 3 ชั้น 2 ตับ ระนาบหลังคาอ่อนโค้งเล็กน้อย
วางสิงห์คู่ไว้ในตำแหน่งที่นิยมกันในเมือง ลำปาง คือวางชิดตัวอาคารและยกแท่นให้สูงระดับคอสองเหนือประตู |
 |
ภายในโอ่งโถง มีการเล่นสีชาดและทองประดับโครงสร้าง |
เดินกันต่อไปอีกวัด เป็นวัดขนาดใหญ่มีผังวัดเป็นรูปสี่เหลี่ยม พระวิหารหันหน้าไปทางทิศตะวันออก มีพระเจดีย์ใหญ่อยู่หลังวิหาร สถาปัตยกรรมหลักของวัดล้านนาโดยทั่วไป ประตูโขงและพระวิหารหลวงถูกรื้อทิ้งแล้ว เหลือเพียงพระเจดีย์ล้านนาขนาดใหญ่หนึ่งองค์ วิหารพระนอน และมณฑปยอดปราสาทศิลปแบบพม่าสร้างขึ้นในสมัยหลัง
 |
มณฑปยอดศิลปะแบบพม่า |
แวะเวียนบ้านชาวบ้านตามทางก่อนไปยังวัดบ่วงกรมทอง
 |
เรือนไทยสองเรือนตั้งขวางกันอย่างแนบเนียน |
 |
เครื่องครัวที่ใช้เสร็จแล้ว เมื่อแขวนก็กลายเป็นของประดับบ้านไปโดยปริยาย |
 |
การวางซ้อนกันของฟืนเกิดtextureไม้ที่สวยงาม |
วัดบ่วงกรมทอง
วัดนี้เป็นวัดใหม่สร้างได้ไม่นานนัก เป็นวัดแบบล้านนาที่ได้นำแนวคิดสมัยใหม่เข้ามาประยุกต์ใช้ด้วย โดยกำแพงใช้การเรียงหินเพื่อให้เกิด textureแบบหยาบ ตามแบบสไตล์ F.L.wrigth มีการใช้วัสดุท้องถิ่น หลังคาไม้ แต่เรารุ้สึกว่า ในตัวอาณาเขตพระวิหารดูจะแห้งแล้งไปหน่อย เนื่องจากไม่ค่อยมรต้นไม้ใหญ่ให้ความร่มรื่นเท่าไหร่
 |
ด้านหลังเป็นกุฎิวัด เป็นเรือนหมู่เรียบง่ายแทรกไปด้วยต้นไม้และที่ว่าง
แต่ตัวเรือนอยู่ในทิศทางไม่เป็นมงคล ขัดกับความเชื่อเดิมของชาวบ้านและพระในบริเวณนั้น จึงทำให้กุฎิไม่มีผู้ใช้งาน
|
 |
บ้านชาวบ้านที่อยู่ละแวกวัด
รั้วบ้านฝาขัดแตะเป็นเส้นนำให้เราเดินเข้าไปสู่ตัวลานบ้าน |
 |
นาข้าวขั้นบันได |
 |
ที่สุดท้ายของวัน เล่นน้ำตกและแช่บ่อน้ำพุร้อน |
วันที่ 4 ลำปาง-สุโขทัย
เช้าวันนี้ตื่นเช้าเป็นพิเศษหน่อย ตั้งใจจะปั่นจักรยานไปดูสถานีรถไฟลำปาง และจ่ายตลาดซื้อของเตรียมไปมื้อเที่ยงอีกเช่นเคย ปั่นจักรยานไปแปปเดียวเราก็ถึงสานีรถไฟลำปาง เดินเข้าไปถ่ายรูปกันแบบเพลินๆ และเข้าตลาดซื้อของเล็กๆน้อยก็กลับโรงแรมเพื่อเดินทาง เข้าสู่วันที่สี่แล้วซินะ
 |
ตัวอาคารด้านหน้าเป็นอาคารครึ่งไม้ครึ่งปูน ลักษณะผสมผสานระหว่างไทยและยุโรป ดูสวยงาม |
วันนี้ที่แรกที่เราเดินทางไปถึงคือวัดปงสนุก
วัดปงสนุก แบ่งออกเป็นวัดปงสนุกเหนือและวัดปงสนุกใต้ สาเหตุที่แยกเนื่องมาจากพระสงฆ์ สามเณร ในอดีต มีจำนวนมาก จึงแบ่งกันช่วยดูแลรักษาวัด แต่ถึงอย่างไรทั้งสองวัดก็นับถือกันว่าเป็นวัดพี่วัดน้องอาศัยช่วยเหลือกัน
 |
เชิงบันได มีพญานาคประทับอยู่ เมื่อเดินขึ้นไปจะพบกับซุ้มประตูและพระเจดีย์ |
|
 |
เจดีย์ก่ออิฐถือปูน สีทองอร่าม |
วิหารพระเจ้าพันองค์
สร้างด้วยไม้ในลักษณะมณฑปหลังคาซ้อนสามชั้น บนสันหลังคาเหนือมุขทั้งสี่สร้างปราสาทไม้จำลองขนาดเล็กหุ้มด้วยสังกะสีฉลุ ลาย สื่อความหมายถึงทวีปทั้งสี่รอบเขาพระสุเมรุ ลักษณะตัวอาคารผสมผสานระหว่างศิลปกรรมล้านนา พม่าและจีน หลงเหลือเพียงอยู่แห่งเดียวในประเทศไทย ห้องกลางวิหารประดิษฐานพระพุทธรูปสี่องค์หันพระพักตร์ออกสี่ทิศประทับนั่ง ใต้โพธิ์พฤกษ์ทำด้วยตะกั่ว
 |
วิหารพระเจ้าพันองค์ หลังคามีความวิจิตร ซับซ้อน โดยเป็นหลัง ซ้อนกันสามชั้นปูด้วยกระเบื้องดินเผา
|
 |
ภายในเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูป ตั้งไว้ทั้ง สี่ทิศ เหนือ ใต้ ตะวันออก ตะวันตก |
จากวัดปงสนุกพวกเราได้ไปต่อกันที่วัดศรีรองเมือง แต่เมื่อเข้าไปก็พบว่าตอนนี้ทางวัดปิดซ่อมแซมอยู่ตัวพระวิหารอยู่ ภายที่เห็นเลยเป็นพระวิหารที่มีนั่งร้านประกอบกันไป
วัดศรีรองเมือง
เป็นวัดที่มีลักษณะแบบศิลปะพม่า เนื่องจาก เป็นวัดที่ชาวพม่าสร้างในสมัยรัชกาลที่ 5 จนถึงปัจจุบันมีอายุราว 103 ปี สร้างโดยช่างฝีมือจากพม่าล้วนๆ ซึ่งบางส่วนของจั่วหลังคาได้ถอดแบบมาจากปราสาทเมืองมัณฑเลย์ ประเทศพม่า
ตัววิหารสร้างด้วยไม้สัก หลังคาจั่วซ้อนกันเป็นซุ้มเรือนยอด เป็นกลุ่มของชั้นหลังคา สวยงามตามแบบศิลปะพม่า มีลายฉลุบนสังกะสี ใช้ประดับบนจั่ว และเชิงชายหลังคา เพิ่มความอ่อนช้อย และสง่างามให้วิหาร เสาไม้ตกแต่งด้วยศิลปะการปั้นรักเป็นลวดลายเครือดอกไม้ ประดับด้วยกระจกสี เฉพาะเสาหน้าพระประธาน จะปั้นรักเป็นรูปเทพารักษ์ คน ยักษ์ วานรและสัตว์ป่าให้เหมือนในป่าหินมพานต์
 |
ตัวพระวิหารที่กำลังซ่อมแซม |
 |
ภาพถ่ายจากinternet ตอนยังไม่ปิดซ่อมแซม |
 |
ส้วมพม่า |
 |
ภายในมีพระพุทธรูปปางมารวิชัยศิลปะพม่าแบบมัณฑะเลย์ จำนวน 3 องค์ประดิษฐานอยุ่ |
เสร็จจากการเยี่ยมชมวัดในตัวเมืองลำปาง เราก็นั่งรถยาวเพื่อมุ่งตรงไปสุโขทัย โดยระหว่างทางมีการเจาะแวะบ้านชาวบ้านตามแบบสไตล์ ทริปอ.จิ๋ว พอถึงไหนต้องก็ต้อง ลงงง
 |
ลานว่างเปล่าที่เปิดโล่งแต่ร่มรื่นด้วยเงาไม้ | |
| | | | | |
| | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | | |
 |
texture ของฝาบ้านบ้านและสีที่เกิดจากสนิมของสังกะสีเป็นองค์ประกอบทำให้บ้านนี้ดูมีรายละเอียด |
 |
การแทรกตัวของไม้เลื้อยและรั้วบ้าน |
 |
หลบฝนรอรถพี่แป๊ะไปสุโขทัย |
วันที่ 5 สุโขทัยวันแรก เที่ยวเมืองมรดกโลกกัน
เช้าวันแรกของการมาถึงสุโขทัย ตอนที่มาถึงถนนบริเวณหน้าโรงแรมมีการซ่อมแซมจึงมีฝุ่นค่อนข่างมาก แต่สภาพโดยรวมก็ดูเรียบง่าย สุโขทัยเป็นเมืองที่สงบ แต่จะตอนเช้าจะครึกครื้นบริเวณตลาดที่ๆชาวบ้านมาจับจ่ายใช้สอยกัน ตื่นเช้ามาเดินเล่นเล็กๆน้อยๆ จากนั้นก็เดินทางเพื่อไปอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย
อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย
ข้างในเป็นพื้นที่กว้างขวาง มีวัดอยู่เต็มไปหมด เมื่อนั่งรถก็จะผ่านวัดไปเรื่อยๆ งงจนไม่รู้ว่าวัดไหนเป้นวัดไหน แต่ที่แรกที่อ.จิ๋วพามาคือ ทำนบพระร่วง อากาศวันนี้สบายๆ เมื่อเดินขึ้นเนินเล็กน้อยไปเจอ ทำนบพระร่วง ซึ่งเป็นวิวที่สวยงามทำให้รู้สึกสบายใจเป้นที่สุด
 |
ทำนบพระร่วง วันนี้อากาศค่อนข้างชื้น มีเมฆบัง พอเย็นสบาย |
|
วัดมังกร
 |
วัดมังกร ซากเจดีย์ที่ถูกเผาทำลาย |
 |
จะเห็นร่องรอยของกำแพงที่เป็นตัวกั้นอาราบริเวณของตัววัด |
วัดมหาธาตุ
อยู่กลางเมือง เป็นวัดใหญ่ และวัดสำคัญของกรุงสุโขทัย มีพระเจดีย์มหาธาตุทรงดอกบัวตูม หรือทรงพุ่มข้าวบิณฑ์ เป็นศิลปะแบบสุโขทัยแท้ ตั้งเป็นเจดีย์ประธาน ล้อมรอบด้วยเจดีย์ 8 องค์ บนฐานเดียวกัน คือ ปรางค์ศิลาแลงตั้งอยู่ที่ทิศทั้ง 4 และเจดีย์ทรงปราสาทก่อด้วยอิฐที่ได้รับอิทธิพลมาจากล้านนา จากการสำรวจ พบว่าบริเวณวัดมหาธาตุมีเจดีย์แบบต่าง ๆ มากถึง 200 องค์ วิหาร 10 แห่ง ซุ้มพระ (มณฑป) 8 ซุ้ม พระอุโบสถ 1 แห่ง ตระพัง 4 แห่ง ด้านตะวันออกบนเจดีย์ประธานมีวิหารขนาดใหญ่ก่อด้วยศิลาแลง มีแท่นซึ่งเคยเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปสำริดที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย คือ พระศรีศากยมุนี ปัจจุบันได้รับการเคลื่อนย้ายไปอยู่ที่วัดสุทัศน์ฯ กรุงเทพมหานคร ที่ด้านเหนือ และด้านใต้ของเจดีย์มหาธาตุมีพระพุทธรูปยืนภายในซุ้มพระ เรียกว่า "พระอัฏฐารศ"
 |
เงาสะท้อน |
 |
ก้อนศิลาแลง ที่นำมาทำเป็นที่นั่งใต้ต้นโพธิ์ |
ช่วงเช้านี้เดินๆๆๆตลอดเริ่มรู้สึกเหน็ดเหนื่อยและหิวข้าวมากอีกทั้งฝนตกปรอยๆเล็กน้อย ทำให้การรวมตัวของ สถ. 5 เป็นไปได้ลำบาก กว่าจะครบก็เล่นทำเราเหนื่อยเหมือนกัน อ.จิ๋วพาเราไปพักทานข้าวที่จุดบริการนักท่องเที่ยว ภายในสร้างอาคารทรงไทยแบบสุโขทัย
 |
หมู่อาคารทรงไทยแบบสุโขทัย เลือกใช้สีอิฐ กระเบื้องที่เข้ากับทัศนียภาพโดยรอบ |
 |
ระบบเจ้าขุนมูลนายยังมีอยู่ ท่านเจ้าคุณและเหล่าภรรยา |
อิ่มแล้ว ช่วงบ่ายอากาศค่อนข้างร้อนมาก ทำให้รุ้สึกเหน็ดเหนื่อยง่ายเหลือเกิน เราขึ้นรถไปต่อกันดีกว่า มาถึงวัดศรีชุม วัดที่มีพระพุทธรูปที่ใหญ่มากๆ
วัดศรีชุม
วัดศรีชุม มีพระพุทธรุปปางมารวิชัยประดับอยู่ ลักษณะ ของวิหารสร้างเป็นรูปสี่เหลี่ยมลักษณะคล้ายมณฑปล้อมรอบด้วยกำแพงสี่ด้านโดยเปิดช่องเปิดเพื่อด้านหน้า หลังคาได้พังทลายไปแล้ว
 |
ด้านหน้าวัด จะมองเห็นพระพุทธรุปองค์ใหญ่ ผ่านช่องเปิดรูปสามเหลี่ยมทรงเรียวสูง | |
|
 |
เกิด texture ใหม่ขึ้นระหว่างอิฐปูและมอส |
 |
สถาปัตยกรรมที่เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา |
ไปต่อกันที่วัดพระพายหลวง วัดที่เรารุ้สึกชอบที่สุดในอุทยาน ไม่มีเหตุผลใดๆ แต่เมื่อถ่ายรุปแต่ละมุมรุ้สึกว่าเป็นวัดที่มีจุด เส้น ระนาบ และการสร้างสเปซที่สวยงาม เมื่อถ่ายรูปไปยิ่งเพลิดเพลินกับรายละเอียดในตัววัด
 |
ทางเข้าด้านหน้า จะมองเห็นพระปรางค์ สาม องค์ |
 |
ภายในสร้างสเปซปิดล้อม ก่อกำแพงอิฐล้อมรอบ โดยมีการเจาะช่องเปิดเป็นจังหวะ และ เล่นtextureที่ต่างกัน |
ก่อนจบวันที่ 5 แวะเวียนบ้านชาวบ้านเล็กๆน้อยก่อนกลับเข้าโรงแรม
 |
บันไดนำเข้าสู่ส่วน semi-outdoor แล้วถ่ายไปยัง indoor |
 |
เตาถ่ายร้อนๆและควันจากการทำอาหาร |
 |
ครัวไทยทำอาหาร แคร่ไม้ไว้นั่งสับ โขลก เตรียมก่อนทำ |
วันที่ 6 เมืองลับแล
วันนี้ตื่นมาแบบเดิม แต่งตัวกินข้าวแล้วเริ่มเดินทางไปเมืองลับแล เมืองเก่าแก่ที่ครั้งหนึ่งเราเคยกลัวสมัยเด็กจำไม่ได้ว่าทำไม แต่รู้ว่ากลัวเมืองนี้มากๆ
เมืองลับแล อยุ่จังหวัดอุตรดิตถ์ ค่อนข้างห่างออกไปจากตัวเมือง บ้านเรือนเป็นแบบเรียบง่าย คละๆๆกันไปทั้งเก่าและใหม่
 |
บ้านทรงพื้นถิ่นร้าง |
 |
เจ้าของบ้านนำผ้าปูขนาดใหญ่มาตากหน้าบ้านดูสดใส |
 |
ฟางข้าวมาสอดไว้ข้างฝาเกิดtextureใหม่ขึ้น |
 |
ซุ้มไม้ก่อนเข้าบ้าน |
 |
ใช้การแผ่กระจายของกิ่งก้านไม้เป็นตัวสร้างร่มเงาให้กับมุมพักผ่อน |
วัดดอนสัก
วัดดอนสักนี้มีวิหารที่ สร้างขึ้นในสมัยกรุงศรีอยุธยามีบานประตูแกะสลักงดงามเป็นลวดลายกนกก้านขด ไขว้ ประกอบด้วยรูป หงส์ รูปเทพพนม และยักษ์ หลังคามุงกระเบื้องดินเผาลดหลั่นลงเป็น ๓ ชั้น ด้านนอกส่วนหน้าบันประดับด้วยไม้แกะสลักลวดลายสวยงาม
 |
พระวิหารและบานประตูสมัยอยุธยาตอนปลายมีลวดลายสวยงามติดตั้งเป็นบานประตูสำหรับวิหารวัดดอนสักสถาปัตยกรรมเชียงแสนปนสุโขทัย |
 |
พระวิหารตั้งในพื้นที่ที่มีการปรับระดับให้สูงขึ้น |
 |
บรรยากาศรอบข้างมีการเลี้ยงไก่ ปลูกต้นตาล ต้นจันทร์ และมีลานให้นั่งเล่น |
 |
กำแพงมีการเล่นระดับเป็นขั้นๆ |
วันที่ 7
อุทยานประวัติศาสตร์ศรีสัชนาลัย
นั่งรถเข้าไปศรีสัชนาลัยเพื่อไปยัง อุทยานประวัติศาสตร์ศรีสัชนาลัย ตัวอุทยานมีความกว้างใหญ่มาก เมื่อเข้าไปรุ้สึกว่าเหมือนเป็นอีกโลกหนึ่ง
อุทยานประวัติศาสตร์ศรีสัชนาลัยให้ความรู้สึกมีความเก่าแก่มากกว่า อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย ทัศนียภาพรอบๆดูเป็นธรรมชาติมากกว่า
วันที่ 8 อำเภอกงไกรลาส สนามบินสุโขทัย
เช้าวันที่8แล้วซนะ งงๆกับการเลือกข้าวเช้าที่สุโขทัย จากนั้นเราก็เดินทางขึ้นรถวันนี้เราออกเดินทางไปยังบ้านเกิดอ.ตี๋ นั้นคืออำเภอกงไกรลาส
อำเภอกงไกรลาส
เป็นชุมชนที่มีชาวจีนอาศัยอยู่เป็นส่วนใหญ่ บ้านเรือนเป็นห้องแถว โดยใช้ทำมาค้าขาย ใช้หน้าบ้านเป็นร้านขายของ ในตัวอำเภอประกอบด้วยร้านค้ามากมาย ทั้งร้านขายโอ่ง เสื่อ ข้าวสาร ของชำ ฯลฯ
 |
ห้องแถวหลังคาhipด้านหน้าใช้ขายของ |
 |
ร้านขายของ |
 |
บ้านเรือนบริเวณริมคลอง |
เยี่ยมเยียนบ้านเงินทอง 161
บ้านเงินทอง161เป็นบ้านที่มีบรรยากาศรบรื่นมาก ภายในตกแต่งด้วยเฟอนิเจอร์ไม้ และมีมุมน่ารักๆที่ประดับด้วยของเล่นสมัยก่อน ไม้แกะสลัก
 |
ส่วนนั่งเล่น |
 |
มุมชิงช้า |
 |
ชุดโต้ะไม้ใต้ต้นไม้ มุมสบายๆ |
สนามบินสุโขทัย
ออกแบบบริษัท habita architects รุ่นพี่ลาดกระบัง
โดยการนำความเป็นพื้นถิ่นของความเป็นสุโขทัยดั้งเดิมมาใช้ประยุกต์กับเทคโนโลยีสมัยใหม่
โรงแรมสุโขทัย เฮอริเทจ รีสอร์ท
เป็นโรงแรมแบบบูติค ตั้งอยู่ใกล้กับสนามบินสุโขทัย สถาปัตยกรรมภายนอกเป็นแบบสุโขทัยแต่ภายในผสมผสานกับความทันสมัย
 |
reception ตกแต่งดูทันสมัยและเรียบง่าย |
 |
เพิ่มลูกเล่นที่ฝาเพดานด้วยโคมไฟแบบแปลกตา |
 |
ส่วนเรือนที่ใช้เป็นบาร์และที่นั่งเล่น |
วันที่ 9 พิษณุโลก กลับกรุงเทพแล้ว
วัดราชบูรณะ
สันนิษฐาน ว่าสร้างขึ้นในสมัยสุโขทัย ประกอบด้วย
1.พระอุโบสถ ก่ออิฐถือปูน หันหน้าไปทางทิศตะวันออกมีทางขึ้นลงทั้งด้านหน้าและด้านหลังด้านละ 2 ประตู พื้นภายในยกระดับ บานประตูหน้าต่างแกะสลัก ผนังเขียนภาพจิตรกรรมรามเกียรติ์ รอบๆอาคารติดตั้งใบเสมาบนฐานก่ออิฐถือปูนรูปดอกบัวบาน รอบนอกทำเป็นกำแพงแก้วล้อมรอบอีกชั้น
2.พระวิหาร อยู่หลังพระอุโบสถ หันหน้าไปทางทิศตะวันออก อาคารก่ออิฐถือปูน มีทางขึ้นลงทั้งด้านหน้าและหลังด้านละ 2 ประตู บานประตูแกะสลักไม้สัก ผนังภายในมีภาพจิตรกรรมพุทธประวัติ
3.พระเจดีย์ ตั้งถัดลงมาด้านหลังพระวิหาร สันนิษฐานว่าประดิษฐานพระอัฐิของสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ
วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร
วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร เป็นวัดที่มีประวัติยาวนานมาตั้งแต่สมัยสุโขทัยมีความงดงามยิ่ง ถือได้ว่าเป็นมรดกทางศิลปวัฒนธรรมอันล้ำค่าของเมืองพิษณุโลก
วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร ไม่มีหลักฐานว่าสร้างขึ้นเมื่อใด สันนิษฐานว่า
สร้างขึ้นก่อนสมัยสุโขทัย และเป็นอารามหลวงมาแต่เดิม
ต่อมาเมื่อ ปีรัชกาลที่ 3ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯให้ยกขึ้นเป็นพระอารามหลวงชั้นเอก ชนิดวรมหาวิหาร ปัจจุบันจึงมีชื่อเต็มว่า
วัดพระศรี รัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร
เสร็จสิ้นของทริป อ.จิ๋ว 9 วันลงที่พิษณุโลก เพื่อนๆร่วมตัวกันขึ้นรถเพื่อกลับกรุงเทพมหานคร ด้วยความเหน็ดเหนื่อย แต่ไม่ว่ายังไไงทริปนี้ก็เป้นทริปที่สอนและเป้นประสบการณ์ที่มีคุณค่า ยากที่จะหาได้จากที่ไหน
ขอขอบคุณ อาจารย์ เพื่อนๆ พี่คนขับรถและชาวบ้านที่น่ารักทุกคนนะค่ะ